ฝากเงินกับธนาคาร
1.เป็นการออมทรัพย์
2.ฝากง่ายถอนง่าย
3.ฝากได้ไม่จำกัด
4.ไม่จำเป็นต้องตั้งเป้าหมายการเก็บออม
5.ระยะเวลาของสัญญา แล้วแต่จะตกลงกัน
*6.ธนาคารให้ดอกเบี้ยเงินฝากประเภทออมทรัพย์ประมาณร้อยละ 0.75 ต่อปี 7.ดอกเบี้ยเงินฝากประจำต้องเสียภาษีเงินได้
8.เงินฝากนำไปหักลดหย่อนไม่ได้
9.กู้เงินจากธนาคาร ต้องมีโฉนดที่ดินค้ำประกัน
10.ไม่ได้ให้ความคุ้มครองฝากเงินไว้เท่าก็ถอนได้เท่านั้น
11.มีพระราชบัญญัติธนาคารพาณิชย์ควบคุมดูแลโดยธนาคารแห่งประเทศไทย
ชำระเบี้ยกับบริษัทประกัน
1.เป็นการออมทรัพย์
2.มีเงื่อนไขในการฝาก
3.ประกันชีวิตได้ไม่จำกัด
4.ตั้งเป้าหมายการเก็บออมได้และอาจจะตั้งเป็นกองมรดกพินัยกรรมได้ทันที
5.มีสัญญาให้เลือกหลายระยะถึงตลอดชีพ
6.มีการจ่ายเงินปันผลสำหรับกรมธรรม์ที่มีเงินปันผล
7.ดอกเบี้ยจากการฝากไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
8.เบี้ยประกันชีวิตนำไปลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาปีละไม่เกิน 300,000 บาทโดยแบ่งเป็นเบี้ย ประกันชีวิต 100,000 บาทและเบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ 200,000 บาท
9.กู้เงินจากบริษัทประกันชีวิตใช้กรมธรรม์ประกันชีวิตค้ำประกัน
10.ให้ความคุ้มครองโดยจะจ่ายเงินให้ตามเป้าหมายจำนวนเงินเอา ประกัน
11.มีพระราชบัญญัติประกันชีวิตพ.ศ.2535แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551ควบคุมดูแลโดยสำนักงานคณะกรรมการกำกับและสงเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.)สังกัดกระทรวงการคลัง
สนใจทำประกันชีวิต
สนใจทำประกันชีวิต ช่องทางติดต่อคุณ ชลทิศ สิทธิราช ตัวแทนไทยประกันชีวิตเบอร์โทรศัพท์ 085-0372951 DTAC089-0471048 AISอีเมล cutchonlathit@gmail.comLine ID:126312ติดตามแฟนเพจwww.facebook.com/thailifebychonlathitwww.whythailife.blogspot.com
วันพุธที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
วันอังคารที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ทำไมต้องทำประกันชีวิต?
ทำไมต้องทำประกันชีวิต?
นอกเหนือจากความหมายของการประกันชีวิตที่ได้กล่าวไว้แล้ว การประกันชีวิตยังหมายถึงการประกันความสามารถในการหารายได้ของมนุษย์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความไม่แน่นอนในการหารายได้ คนเรามักพบกับอุปสรรคจากภัยต่างๆคือ
1.การตกงาน
ผู้ที่มีอาชีพรับจ้างไม่ว่าจะได้รับค่าตอบแทนเป็นเงินเดือนประจำเงินรายวันหรือมีค่าตอบแทนตามผลงานนั้น แม้แต่ผู้ที่มีกิจการเป็นของตนเอง หากวันใดวันหนึ่งเกิดความไม่มั่นคงในอาชีพหรือทางธุรกิจการตกงานหรือการออกจากงานจะด้วยกรณใดก็ตามย่อมก่อความลำบากยุ่งยากแน่นอน เพราะเกิดความไม่แน่นอนหรือขาดรายได้ประจำ
2.การเจ็บป่วยหรือุบัติเหตุ
เมื่อเกิดการเจ็บป่วยหรืออุบัติเหตุย่อมส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและรายได้ของผู้ประสบภัยและครอบครัวทั้งในระยะสั้นและหรือระยะยาวขึ้นอยู่กับอาการที่เป็นและวิธีการรักษา
3.การกลายเป็นบุคคลทุพพลภาพ
ผู้ที่กลายเป็นบุคคลทุพพลภาพเปรียบเสมือนบุคคลที่ตายทั้งเป็น คือไม่สามารถประกอบอาชีพได้นั่นหมาายถึงการขาดรายได้ที่แน่นอน อีกทั้งยังเป็นภาระของบุคคลในครอบครัวและสังคมในการเลี้ยงดู
4.ความชรา
ไม่มีใครหนีพ้นความชราได้เว้นแต่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร ผู้ที่อยู่ในวัยนี้แม้จิตใจเข้มแข็งและมีเจตนาต่อสู้ชีวิต แต่กำลังกายอ่อนแอไม่สามารถประกอบการงานได้เต็มที่เหมือนเดิม แต่ยังต้องอาศัยปัจจัยเพื่อการกินอยู่ การที่จะหวังพึ่งลูกหลานก็เป็นเรื่องของอนาคตที่ไม่แน่นอนเพราะในภาวะปัจจุบัน ทุกคนต่างก็มีพันธะในการเลี้ยงดูครอบครัวตนเอง
5.การมรณกรรม
ไม่มีใครหนีพ้นความตายไปได้และไม่มีใครหยั่งรู้วันตาย เมื่อต้องสูญเสียหัวหน้าครอบครัว สมาชิกที่เหลืออยู่มักจะต้องรับภาระต่างๆและประสบกับความลำบากในการดำเนินชีวิต
***อุปสรรคข้างต้นนี้*** เราสามารถป้องกันความไม่แน่นอนในการหารายได้ ด้วยหลักประกันที่จะช่วยคุ้มครอง และแบ่งเบาภาระจากความสูยเสียที่อาจเกิดขึ้น และหลักประกันที่แน่นอนที่สุดคือการประกันความมั่นคงของรายได้หรือการประกันชีวิตนั่นเอง
ประกันชีวิตให้ประโยชน์อย่างไรบ้าง
1.ประโยชน์ต่อบุคคลและครอบครัว
ด้านความคุ้มครอง
ด้านความคุ้มครอง
- มีค่ารักษาพยาบาลเมื่อเกิดโรคภัย หรือประสบอุบัติเหตุ
- มีเงินเลี้ยชีพยามชรา
- มีเงินทุนให้กับครอบครัว เมื่อหัวหน้าครอบครัวเสียชีวิตกะทันหัน
ด้านการออมทรัพย์
- ปลูกฝังนิสัยให้รู้จักประหยัดและเก็บออม
- เป็นการสร้างกองมรดกที่เจ้าหน้าหนี้จะยืึดหรือเอาไปชดใช้หนี้ทั้งหมดไม่ได้
ด้านการลงทุน
- เป็นการลงทุนที่ไม่สูญหาย เพราะบริษัทประกันชีวิตจะนำเอาไปลงทุนเฉพาะกิจการที่มั่นคง และที่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติประกันชีวิต(ฉบับบที่ 2 ) พ.ศ.2551 เท่านั้น
- ได้รับเงินปันผลตามเงื่อนไขกมธรรม์
- เป็นหลักทรัพย์ที่ผู้เอาประกันได้รับคืนแน่นอนเมื่อครบกำหนดสัญญาหรือเสียชีวิตก่อนกำหนด
2.ประโยชน์ต่อธุรกิจ
- ให้ความคุ้มครองรายได้ต่อบุคคลสำคัญในธุรกิจ ซึ่งเป็นผู้บริหารระดับสูงขององค์กร
- ช่วยแก้ปัญหาการขาดเงินทุนหมุนเวียน เพียงใช้กรมธรรม์เป็นหลักทรัพย์การกู้ยืม
3.ประโยชน์ต่อสังคมและประเทศชาติ
- ระดมเงินไปลงทุนในระยะยาว นำเงินสำรองประกันชีวิตไปซื้อพันธบัตรรัฐบาล หรือให้เอกชนกู้ไปลงทุน
- แบ่งเบางานด้านประชาสงเคราะห์ของรัฐบาล เช่น การเลี้ยงดูเด็กกำพร้า ผู้สูงอายุ เป็นต้น
วันจันทร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2557
ความหมายของการประกันชีวิต
การประกันชีวิต คือ การประกันความไม่แน่นอนให้เป็นสิ่งที่แน่นอน ความแน่นอนในที่นี้หมายถึงการมีรายได้ที่แน่นอนตลอดไปไม่ว่าจะมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นก็ตาม ทั้งนี้อาศัยหลักของการเฉลี่ยภัยร่วมกัน ดังตัวอย่าง เช่น
สมมติ สมาชิก 100 คน ร่วมกันตั้งกองทุนเพื่อช่วยเหลือสมาชิก โดยมีเงื่อนไขว่าหากสมาชิกรายใดเสียชีวิตลงสมาชิกที่เหลือจะจ่ายเงินช่วยเหลือให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตจำนวน 100,000 บาท ซึ่งเงินนี้จะเรียกเก็บจากสมาชิกทั้ง 100 คน คนละ 1,000 บาทในแต่ละปี หากสมาชิกจ่ายเงินเพื่อกองทุนทุกปี ก็ย่อมจะทำให้กองทุนเพิ่มพูนมากขึ้น เพราะในโอกาสที่สมาชิกจะเสียชีวิตทุกปีมีน้อยมาก
อีกหนึ่งความหมายของการประกันชีวิต
"การประกันชีวิต คือ แผนการของชุมชนที่สมาชิกร่วมกันจัดตั้งระบบการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระอันเกิดจากทุกภัยที่สมาชิกของชุมชนได้รับ ทั้งนี้โดยการรวบรวมเงินออมของสมาชิกเข้าเป็นกองทุนเพื่อการนี้ เมื่อสมาชิกรายใดประสบภัยพิบัติอันนำมาซึ่งปัญหาเดือดร้อน สมาชิกหรือรอบครัวผู้ประสบภัยก็จะได้รับความช่วยเหลือจากเงินทุนนี้เพื่อนนำไปบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้นบริษัทประกันชีวิตทำหน้าที่เสมือนหนึ่งผู้จัดการดูแลกองทุนนี้ นับแต่การชี้แจงแนะนำ หาสมาชิกเข้าร่วมกองทุน รววบรวมเงินออมของสมาชิก จัดทำทะเบียนแลออกใบรับรองสมาชิกภาพ (กรมธรรม์) จ่ายเงินช่วยเหลือเมื่อสมาชิกประสบภัย รวมทั้งการบริหารเงินจะนำดอกผลมาจ่ายคืนแก่สมาชิกทั้งในรูปเงินปันผลและการจ่ายเงินช่วยเหลือดังกล่าวมาแล้วอีกด้วย" และในอีกความหมายหนึ่งที่ว่าการประกันชีวิตเป็นการกระจายความเสียหายอันเนื่องมาจากมรณกรรมของสมาชิกคนหนึ่งไปยังสมาชิกคนอื่นๆ
และคำกล่าวที่ดีที่สุดของการประกันชีวิต คือ การวางแผนที่ดีในปัจจุบันเพื่อความเป็นอยู่ที่ดีกว่าในอนาคต
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)